โดยอัยการสูงสุดของสหรัฐกล่าวในแถลงการณ์ว่า การตัดสินใจของ Uber เพื่อปกปิดข้อมูลการโดนแฮคในครั้งนี้เป็นการละเมิดความเชื่อมั่นของสาธารณชนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบริษัทล้มเหลวที่จะปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ รวมทั้งไม่ยอมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเมื่อพบเหตุความไม่ปลอดภัยเช่น (ซึ่งถ้าแจ้ง ก็อาจจะโดนปรับเหมือนกัน แต่ความเสียหายจะน้อยลง เพราะรัฐจะได้เข้ามาช่วยเหลือให้ไวขึ้น)
ทั้งนี้ในเดือนตุลาคมปี 2016 แฮกเกอร์สามารถแฮกเข้าระบบของอูเบอร์และขโมยข้อมูลเกีี่ยวกับลูกค้าและผู้ขับรถกว่า 57 ล้าน โดยมีทั้งชื่อที่อยู่ อีเมล และหมายเลขใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ โดยนับว่ายังโชคดีที่หมายเลขประกันสังคมและข้อมูลบัตรเครดิตไม่ได้ถูกขโมยไป แต่สิ่งที่น่าตกใจคืออูเบอร์ได้จ่ายเงินจำยวน 100,000 เหรียญแก่โจร เพื่อกู้ข้อมูลกลับมา และไม่ให้เผยแพร่ต่อสาธารณะ
และสิ่งที่น่าโมโหมากกว่านั้นคือ อูเบอร์รอมานานกว่าหนึ่งปีกว่าจะแจ้งให้ลูกค้าทั้งหมดว่าบริษัทโดนแฮก เพราะกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า บริษัทต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการละเมิดข้อมูลทุกครั้งและทันที เมื่อมีการแฮกเกิดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าเตรียมดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ในการลดทอนความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ในตอนแรกอูเบอร์ก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับแฮ็กเกอร์หรือว่าบริษัทจ่ายเงินเท่าไร แต่หลังจากมีรายงานว่าหนุ่มในรัฐฟลอลิด้าวัย 20 ปีเป็นผู้รับผิดชอบการแฮกครั้งนี้ ซึ่งการชำระเงิน ก็เป็นการผ่านโปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ จึงทำให้เรื่องแดงออกมา
ทั้งหมดนี้เป็นบทความครั้งสำคัญของอูเบอร์และอาจจะเป็นไก่ตัวสำคัญที่สหรัฐได้เชือดเป็นเยี่ยงอย่างให้กับริษัทต่าง ๆ ที่ต้องพยายามเพิ่มความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า เพราะข้อมูลนับเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคดิจิทัล
